ประวัติช้างยายทองดี
เจ้าของเดิม นาย ทวี เขื่อนวิชัย ที่อยู่ดั้งเดิม อำเภอท่าปลา จ. อุตรดิตถ์ อายุยายทองดี ตามใบตั๋วพิมพ์รูปพรรณ์พ.ศ 2510 อุปนิสัย เป็นช้างเชื่องดีมาก ๆ ไม่มีอาการวิตกกังกลแต่ก็ไม่ชอบเข้ากับสังคมช้างด้วยกัน ชอบอยู่แบบเงียบ ๆ เรื่องเล่า ท้าวความไปก่อนหน้านั้นยายทองดีเป็นช้างที่มีถิ่นฐานบ้านเกิดอยู่อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ก่อนที่จะขายให้พ่อทวีในราคา หกหมื่นบาท พ่อทวีได้เลี้ยงดูทองดีพร้อมกับพังบุญยืนซึ่งเป็นเพื่อนร่วมสุขร่วทุกข์ทำงานหาเงินในการชักลากไม้ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตราบจนวันหนึ่งอุตสาหกรรมการลากไม้ได้หยุดลง พังทองดีและบุญยืนก็ยังอยู่ทำงานให้กับครอบครัวโดยให้บริการนั่งช้างชมธรรมชาติที่บ้านห้วยเสือเฒ่า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตราบจนวันหนึ่งพ่อทวี ได้สูญเสียพ่อ ซึ่งคุณพ่อของท่านรักช้างมาก ๆ จะไม่ให้ใครตีช้างหรือบังคับขู่เข็ญช้างจนเกินกว่าความสมควร ดังนั้นพ่อทวีเมื่อสุญเสียคุณพ่อไป จึงอยากจะให้ช้างได้ไปอยู่ยังที่ดีกว่าคือ ไม่อยากให้ใครต้องมาทำให้นำไปนั่งอีกต่อไป วันหนึ่งพ่อทวีได้ขับรถมอเตอร์ไซต์จากบ้านห้วยเสือเฒ่าเพื่อจะมาดูสถานที่ของ บี แอลลิแฟนท์ แซงคทิวเอรี่ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงในการมาดูสถานที่ พอได้พบพูดคุยตกลงกันแล้ว เราก็ได้ตกลงวันเวลาจะย้ายพังทองดีและบุญยืนเข้ายังศูนย์ของเรา พังทองดีหายไปตั้ง 2 ครั้ง!!!!! ครั้งหนึ่งตอนที่เรายังมีควาญช้างซึ่งเป็นเด็กหนุ่มได้เผลอนอนหลับในระหว่างที่ปล่อยทองดีกินหญ้าตามประสาของช้างไป พอตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นทองดีแล้ว ควาญหนุ่มวิ่งจากที่ปล่อยทองดีขึ้นมาถึงยังศูนย์เพื่อแจ้งให้พวกเราทราบ พวกเราก็ไม่รอช้ารีบกันออกตามหาพังทองดีกลัวว่าจะออกไปไกลเกินจนข้ามน้ำแม่แจ่มไปยังอีกเขตหมู่บ้านอื่น ประมาณบ่าย 5 โมงเย็นพ่อและแม่ซึ่งได้ออกตามหาช่วยก็ได้โทรศัพท์บอกว่าเจอพังทองดีกำลังเดินออกหากินใกล้ ๆ ข้างน้ำแม่แจ่มซึ่งไกลออกจากจุดปล่อยไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร ไม่มีใครคิดว่าทองดีจะเดินลัดเลาะไปได้ไกลและเร็วขนาดนั้น แต่นี้ก็เป็นครั้งแรกที่พังทองดีหายแล้วเจอในวันเดียวกัน พังทองดีครั้งที่ 2 ควาญหนุ่มเจ้าเดิม ในขณะที่กำลังเดินตามกันแบบห่าง ๆ จะกลับมายังที่พัก ช้างพังแม่ก้ำได้เกิดไปแย่งจะเอาลูกของพังคำมี ซึ่งในตอนนั้นได้มีการร้องของพังคำมีพร้อมลูกน้อย ทำให้ควาญหนุ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงมีการร้องเสียงดังขนาดนี้ แทนที่เขาจะสนใจพังทองดี แต่กลับเป็นว่าเขาวิ่งมาดูพังแม่ก้ำกับพังคำมี ปล่อยให้พังทองดีซึ่งก็คิดว่าอยู่ในอาการตกใจวิ่งหนีออกไปอย่างไม่คิดชีวิต และแล้วพอเหตุการณ์กลับมาเป็นปรกติ ควาญหนุ่มกลับมาหาทองดีอย่างไรก็ไม่เจอ เพื่อน ๆ พี่ ๆ ควาญช้างทุกคนต่างก็ช่วยกันออกตามหา เรื่องก็มาถึงพวกเราเวลาตอนนั้นประมาณบ่าย 4 โมงเย็น พวกเราทุกคนออกไปตามหาพังทองดี จากคำบอกเล่าและจุดที่หายไปพวกเราต่างแยกย้ายกันเดินตามหา ซึ่งก็ไม่ได้ง่ายเสียทีเดียวเพราะเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาวประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน อากาศฝนตกใบไม้เริ่มจะล่วงจะดูตามลอยเท้าก็ยากเพราะใบไม้เริ่มหล่นทับถมลงมา ในความคิดเห็นของเราพังทองดีน่าจะไม่ขึ้นไปยังบนภูเขาเพราะปรกติแกไม่ค่อยชอบขึ้นภูเขา และสภาพอายุก็มากแล้ว ถ้าจะวิ่งหนีก็คงจะลงตามพื้นที่ราบซึ่งก็สันนิฐานกันไปอย่างนั้น พวกเราเดินกันไปคนละทิศละทางเพื่อออกตามหาพังทองดี พวกเราหยุดออกตามหาเป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี เพราะดึกมากแล้ว ผมเองนอนไม่หลับในคืนนั้นเพราะเป็นห่วงกลัวว่าพังทองดีจะออกไปไกลข้ามเขตไปยังหมู่บ้านอื่น และที่น่าเป็นห่วงคือกลัวจะไปสร้างความเสียหายให้แก่ชาวบ้านแม้กระทั่งอาจจะไปจับกินยาฆ่าหญ้าต่าง ๆ นา ๆ มันกลัวไปหมดทุกอย่าง ตกเช้าวันใหม่ประมาณตี 5 ผมก็ออกเดินทางอีกครั้งเพื่อจะออกไปตามหาพังทองดีก่อน กลัวว่าทุกอย่างจะช้าและสายเกินไป ผมตัดสินใจเดินตามลำห้วยข้ามแม่น้ำแม่แจ่มเดินไปหาลอยเท้าและร่องรอยการกินการเดินของช้าง เดินลงไปใต้สุดจะถึงหมู่บ้านก็ไม่พบ ขึ้นเหนือสุดเท่าที่เคยเดินก็ยังไม่พบ ไปเจอกับพ่อคนเลี้ยงวัวคนหนึ่งซึ่งแกนอนพักอยู่ตรงสวนพร้อมกับวัว แกบอกว่าไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เพราะในตอนนั้นพังทองดียังแขวนกระดิ่งซึ่งทำมาจากไม่ไผ่ถ้าหากว่าพังทองดีจะเดินผ่านมาแถวนี้ก็คงจะได้ยินเสียงแล้ว พอเสร็จจากการพูดคุยกับพ่อคนเลี้ยงวัว ผมก็ตัดใจแล้วว่าทองดีไม่ได้เดินผ่านมาเส้นทางนี้ ในใจก็ยังคิดว่าคงจะแอบไปซ่อนที่ไหนสักแห่งในป่าอันกว้างพอที่จะทำให้เดินหลงทางได้ ผมเดินทางกลับเพื่อจะข้ามแม่น้ำกลับมายังฝั่งที่ทองดีหาย และแล้วโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นพ่อที่โทรเข้ามาพร้อมกับคำบอกเล่าถึงสภาพที่พังทองดีน่าจะใช้นอนเมื่อคืนนี้ จากคำบอกเล่า พ่อบอกว่ามีร่องรอยการหักกินใบไม้เปลือกไม้และเดินขึ้นไปสู่สุดสูงสุดของภูเขา เป็นสถานลาดเอียงนิด ๆ พื้นที่ว่างโล่งซึ่งพ่อบอกว่าเจอมูลช้างซึ่งดูใหม่มาก และเหมือนกับว่าทองดีได้ใช้สถานที่นี้หลับนอนช่วงเมื่อคืนที่ผ่านมา แต่ยังไม่เจอตัวช้าง แต่ก็พอจะทำให้ผมโล่งอกโล่งใจได้ เหมือนยกภูเขาออกจากอกจริง ๆ เพราะความวิตกกังกลไปต่าง ๆ นา ๆ ผมตัดสินใจมุ่งหน้ามายังบริเวณที่คิดว่าทองดีน่าจะเดินออกมาทางแม่น้ำเพราะว่าในลำห้วยเล็ก ๆ ไม่มีน้ำให้ดื่มแล้ว เวลา ณ ตอนนั้นประมาณ บ่าย 2 โมงกว่าแล้ว พอผมกับญาติอีกคนที่มาช่วยหาเดินมาพบกันก็พากันเดินขึ้นสู่ที่สูงหน่อยเพื่อจะรอฟังเสียงกระดิ่งที่แขวนคอทองดีอยู่ เราก็ตั้งใจช่วยกันฟังเสียง…และแล้วเสียงไม้ไผ่ก็หักดังลั่นพร้อมกับเสียงกระดิ่งดังอยู่เล็กน้อย เราต่างบอกว่า…นั่นไงทองดี!!! ซึ่งก็ได้ยินแต่เสียงดังออกมาจากลำห้วยด้านล่างที่เรายืน เมื่อพวกเราเดินไปถึงยังทองดี แกเหมือนกำลังจะหาทางออกไปทางลำน้ำแม่แจ่ม ซึ่งก็ยังใช้เวลาอีกไกลมากกว่าจะถึง และทางเส้นนี้ก็ยังไม่เคยมีช้างเชือกไหนเดินมาก่อนหน้านี้ ทำให้ทองดีต้องค่อย ๆ เดินหักกิ่งไม้เคลียร์พื้นทางเดินก่อนจะก้าวได้ก็ใช้เวลานานพอสมควร ยังดีที่ดินยังพอจะนิ่มนวลซึ่งก็ง่ายต่อการเดินของช้าง พวกเราได้พาทองดีเดินลัดเลาะออกมายังทางจะกลับบ้าน พอมาถึงลำห้วยแม่แทนซึ่งก็มีน้ำไหลตลอดปี ทองดีไม่รอช้า ยืนดื่มน้ำไปตั้งหลายนาที พร้อมทั้งพ่นใส่ตัวเพื่อความสดชื่นอีกครั้งหนึ่ง เป็นความสุขที่เห็นทองดีกลับมาอย่างปลอดภัย หลังจากออกไปท่องเที่ยวในป่าภูเขาทั้งคืน….